25 มิถุนายน 2568 เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children Thailand) พร้อมด้วยพันธมิตรในพื้นที่ชายแดนใต้ ประกาศผลสำเร็จของโครงการ “การพัฒนาแผนรับมือและการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉิน ระยะที่ 2” ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีในจังหวัดยะลา ครอบคลุม 6 ชุมชนและ 7 โรงเรียน โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน โครงการนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการวางแผนรับมือภัยพิบัติ ทั้งยังพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีที่สามารถต่อยอดสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับจังหวัด ประเทศ และภูมิภาคอาเซียน
โครงการ "การพัฒนาแผนรับมือและการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉิน ระยะที่ 2" ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแห่งสหภาพยุโรป (ECHO) โครงการนี้มีการทำงานร่วมกับสมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ (กลุ่มลูกเหรียง) และมูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาอย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดยะลาซึ่งเป็นพื้นที่ที่เผชิญกับความเสี่ยงหลากหลาย ทั้งจากภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ เพื่อให้สามารถจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้นำศาสนา หน่วยงานท้องถิ่น ชุมชน และภาครัฐ
ตลอดระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี เซฟ เดอะ ชิลเดรน และภาคี ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการในพื้นที่นำร่อง 6 ชุมชน 7 โรงเรียน ผ่านการดำเนินการจัดทำและฝึกซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติร่วมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ครอบคลุมครู นักเรียน อาสาสมัคร ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและการสร้างความพร้อมในระดับพื้นที่ ซึ่งความสำเร็จของโครงการเกิดขึ้นใน 2 ระดับ ระดับแรกคือการทำงานในพื้นที่จริง ระดับที่สองคือการสนับสนุนนโยบายของรัฐ โครงการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปกป้องคุ้มครองเด็กแห่งชาติของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และยุทธศาสตร์โรงเรียนปลอดภัยของกระทรวงศึกษาธิการ ยุทธศาสตร์ทั้งสองมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กจากทุกประเภทภัย
โครงการนำประสบการณ์และบทเรียนจากการทำงานในพื้นที่มาพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ในระดับจังหวัด ประเทศ และภูมิภาคอาเซียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยเซฟ เดอะ ชิลเดรน ตั้งเป้าหมายสำคัญคือการผลักดันให้ "การคุ้มครองเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉิน" กลายเป็นประเด็นที่ทุกระดับให้ความสำคัญอย่างจริงจัง มีการจัดสรรงบประมาณและบุคลากรmที่มีความพรัอมอย่างเพียงพอ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
เซฟ เดอะ ชิลเดรน ย้ำว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเป็นกุญแจสำคัญในกา รเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โดยเฉพาะการสร้างบทบาทนำของเด็กและเยาวชนในการวางแผนและรับมือภัยพิบัติ การผนวกแผนรับมือภัยพิบัติเข้าไว้ในระบบโรงเรียนและชุมชน และการเสริมสร้างบทบาทของอาสาสมัครท้องถิ่น การลงทุนอย่างต่อเนื่องในระบบเตรียมความพร้อมจะช่วยสร้างระบบการคุ้มครองเด็กที่เข้มแข็งและครอบคลุม เพื่อปกป้องเด็กทุกคนจากความเสี่ยงในอนาคต
นายกีโยม ราชู ผู้อำนวยการบริหาร เซฟ เดอะ ชิลเดรน กล่าวว่า “เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราทุกคนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปกป้องชีวิตและสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคนให้ปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม”
“จากประสบการณ์ของเราทั่วโลก การปกป้องเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องเริ่มตั้งแต่ระดับพื้นที่ โครงการนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อโรงเรียน ชุมชน และภาครัฐร่วมมือกัน เด็ก ๆ จะได้รับการคุ้มครอง สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือการนำแนวปฏิบัติที่ดีจากพื้นที่ไปพัฒนาเป็นนโยบายที่ใช้ได้จริงในระดับจังหวัดและประเทศผ่านการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมที่เป็นระบบ พร้อมกับส่งเสริมบทบาทของเด็ก เยาวชน และอาสาสมัค รในท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการเตรียมความพร้อม เราต้องทำให้แผนรับมือภัยพิบัติเป็นส่วนหนึ่งของระบบโรงเรียนและชุมชนอย่างถาวร และผลักดันให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระบบคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างปลอดภัย แม้ในสถานการณ์วิกฤต” ผู้อำนวยการบริหาร เซฟ เดอะ ชิลเดรน กล่าวเสริม
ภายในงานสรุปผลการดำเนินการโครงการมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายรูปแบบ อาทิ การนำเสนอผลการดำเนินงานและบทเรียนจากชุมชนต้นแบบ เวทีเสวนาที่สะท้อนมุมมองจากภาคีภาครัฐ ภาคประชาสังคม และผู้นำชุมชน การฝึกซ้อมแผนจำลองรับมือเหตุระเบิด ซึ่งเปิดโอกาสให้เด็กและชุมชนมีบท บาทในการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง รวมถึงพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่หน่วยงานและบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยพลังของความร่วมมือและความหวัง สะท้อนให้เห็นว่า “ความปลอดภัยของเด็ก” ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งสังคมที่จะต้องดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

เด็กทุกคนต้องปลอดภัยเมื่อภัยมา เซฟ เดอะ ชิลเดรน ชู “การคุ้มครองเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉิน” เป็นวาระสำคัญระดับชาติ
25 มิถุนายน 2568
NEWS
เด็กทุกคนต้องปลอดภัยเมื่อภัยมา เซฟ เดอะ ชิลเดรน ชู “การคุ้มครองเด็กในสถานการณ์ฉุกเฉิน” เป็นวาระสำคัญระดับชาติ